ตั้งแต่ที่คุณย้ายจากประเทศไทยมาอยู่ที่ประเทศอิตาลีครั้งแรกมีวัฒนธรรมหรือการปฏิบัติอย่างใดของชาวอิตาลีบ้างครับที่คุณรู้สึกประหลาดใจ (cultural shock)
ข้อที่จะตอบต่อไปนี้ตอบตามประสบการณ์และความคิดเห็นของแขกรับเชิญของเรา
1. การพูดคุยกันเสียงดัง โหวกเหวก โวยวาย
อย่างแรกเลยคือ การพูดคุยกันเสียงดัง โหวกเหวก โวยวาย ยิ่งเวลาที่มีการถกเถียงกัน จะเสียงดังมาก ทำให้คิดว่าเขาทะเลาะกัน ช่วงแรก ตกใจมาก ยิ่งถ้าเราฟังภาษาเขาไม่รู้เรื่อง เราก็จะไม่รู้ว่าเขาคุยเรื่องอะไรกัน ทำให้เราคิดเลยไปว่าเราเป็นสาเหตุให้เขาทะเลาะกันหรือเปล่า ซึ่งต่างจากวัฒนธรรมไทยที่ต้องสงบเสงี่ยม เก็บความรู้สึก ตอนหลังเริ่มเข้าใจและชินค่ะ เพราะการเสียงดังของเขาเป็นวัฒนธรรม บ้านเมืองเขาเป็นเมืองหนาว การเล่นใหญ่ การแสดงออกสีหน้า ท่าทาง อารมณ์ น่าจะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นค่ะ – คุณ เปิ้ล
2. วัฒนธรรมเรื่องของอาหาร
อย่างที่สองคือ วัฒนธรรมเรื่องของอาหาร ช่วงแรกแทบจะทานอะไรไม่ได้เลยค่ะ อาหารไทยรสจัดซึ่งต่างจากอาหารอิตาเลียนมาก นอกจากเรื่องของรสชาติอาหารแล้วยังมีเรื่องของวัฒนธรรมการทานอาหารเช้า ที่อิตาลีทานคอนเน็ตโต้หรือครัวซองกับกาแฟ แต่คนไทยทานข้าว ช่วงแรกๆหิวมาก หิวทั้งวัน เพราะเรายังไม่ชินประกอบกับอากาศหนาวทำให้ร่างกายต้องการพลังงานมากเป็นพิเศษ – คุณ เปิ้ล
3. เรื่องของการเสริฟและการทานอาหาร
เรื่องที่สามคือเรื่องของการเสริฟและการทานอาหาร เนื่องจากที่ที่เปิ้ลอยู่ เราอยู่กันแบบคอมมิวนิตี้ คืออยู่กัน 10-15 คน ดังนั้นทุกอย่างจะค่อนข้างเป็นทางการ ทั้งมารยาทบนโต๊ะอาหาร การจัดโต๊ะอาหาร รวมทั้งการเสริฟ์อาหาร ชาวอิตาเลียนทานอาหารเป็นจาน คือเรียงลำดับ อาหารเรียกน้ำย่อย อาหารจานหลัก อาหารจานรอง ตามด้วย ผักต้ม ผักสด หรือสลัด ตบท้ายด้วย ของหวานขนม เวลาจัดโต๊ะอาหารส่วนใหญ่จัดเป็นบุฟเฟต์ แต่ต้องเรียงลำดับ แต่ถ้าไม่ได้จัดแบบบุฟเฟต์ ต้องห้ามเสริฟข้ามลำดับเด็ดขาด
(ที่ไทยเราเสริฟพร้อมกันทุกจาน แล้วเลือกทานเอง) ซึ่งช่วงแรกเวลาเปิ้ลไปช่วยแม่บ้าน(ที่พูดภาษาอิตาเลียนเท่านั้น) จัดโต๊ะอาหาร ด้วยความไม่รู้เราก็วางตามความเหมาะสม แต่สักพักเราก็เห็นเขามาจัดใหม่ เราก็แอบน้อยใจว่า ที่เราทำมันไม่ดีหรอ แต่สุดท้ายท้ายพอเรารู้วัฒนธรรมเรื่องนี้ทำให้เราร้องอ๋อเลยค่ะ – คุณ เปิ้ล
4. คนอิตาลีเขาปิดร้านช่วงบ่ายโมงถึงบ่ายสี่โมงเย็น
ข้อแรกเลยคือ คนอิตาลีเขาปิดร้านช่วงบ่ายโมงถึงบ่ายสี่โมงเย็น กฎหมายบังคับให้หยุดเพื่อที่พนักงานจะได้กลับไปกินกลางวันที่บ้านและนอนพักผ่อนเติมพลัง ดูหน้าคนที่เขารักก่อนจะกลับมาทำงานอีกรอบตอนบ่าย หรือบางคนที่ไม่กลับบ้านก็จะกิน panino ที่ bar แล้วมานอนอาบแดดก่อนที่จะกลับไปทำงานรอบบ่ายค่ะ ยาก็นึกในใจว่า โหหหหห!!! มีกฎหมายแบบนี้ด้วยเหรอ ช่างมีความสุขแท้ วัฒนธรรมการใช้ชีวิตของคนอิตาลีนั้นคำนึงถึงการอยู่ดีมีความสุขมากกว่าการทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำแบบที่ยารู้จักและคุ้นเคย มันทำให้ยาฉุกคิดว่าสำหรับคนอิตาลีแล้วเงินมันไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด จริงอยู่ว่าเราต้องทำงานหาเงิน แต่ก็ต้องแบ่งเวลาพักผ่อนหรือทำอะไรที่เราชอบให้ชีวิตมันเพลิดเพลินขึ้นด้วย ค่าของคนอยู่ที่ผลของงานยังจริงอยู่ แต่เราต้องเพิ่มเวลาพักมองอย่างอื่นในชีวิตด้วยค่ะ แต่อย่างว่าคนเอเชียไม่ค่อยชินกับระบบแบบนี้หรอกค่ะ ยาเห็นร้านคนจีนปิดร้านครึ่งนึง ถ้ามีลูกค้าผ่านมาก็ยังขายได้ต่อ ถ้ามีตำรวจมาตรวจก็ตอบไปได้ว่า ฉันปิดร้านอยู่นะครึ่งนึงไง ก๊าก – คุณ สรินยา วิทยาอารีย์กุล
5. หลัง 2 ทุ่มร้านค้าปิดกันหมด
หลัง 2 ทุ่มร้านค้าปิดกันหมด ถนนเงียบมาก ยาก็ เฮ้ย!!! ในใจ เพราะยาคุ้นเคยกับชีวิตในกรุงเทพที่ครึกครื้นเสียงดังมีแสงไฟตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน จะกินอะไรตอนไหนก็ได้ เพราะที่ไทยมีร้านค้าเปิดตลอดเวลา ช่วงแรกๆยาคิดว่าความเงียบมันช่างน่ากลัวแท้ เพราะตอนนั้นปกติยาจะหลับได้ง่ายกว่า ตอนที่มีเสียงวุ่นวายของเมืองหลวงค่ะ ในปัจจุบันนี้หลังจากที่ได้คลุกคลีกับความเงียบอยู่หลายปียารู้สึกว่าความเงียบมันช่างสงบน่ารื่นรมย์แท้ แต่บางทีความเงียบมันก็มีเสียงดังกว่าเสียงความวุ่นวายในเมืองอีกค่ะ – คุณ สรินยา วิทยาอารีย์กุล
6. วันอาทิตย์เป็นวันครอบครัว
พอได้มาอยู่อิตาลียาวๆแล้ว ก็เรียนรู้ว่าวันอาทิตย์เป็นวันครอบครัวและเป็นวันที่คนอิตาลีเขาต้องไปโบสถ์กัน ร้านค้าส่วนใหญ่ก็ปิด ห้ามทำงาน เพื่อคนทำงานจะได้ไปโบสถ์และใช้เวลากับครอบครัว ตอนนั้นยานึกในใจว่าวันหยุดทำไมไม่พาครอบครัวไปเที่ยวหรือไปกินอะไรกันนอกบ้านหล่ะ บ้านอยู่มาทุกวันและทั้งอาทิตย์แล้ว สำหรับยาตอนนั้นบ้านคือที่นอนและที่อาบน้ำเท่านั้นอ่ะค่ะ วัฒนธรรมนี้ที่อิตาลีก็ทำให้ยารู้จักความหมายของคำว่าบ้านมากขึ้น บ้านสำหรับคนอิตาลีมันคือความผูกพันระหว่างคนที่เขารักด้วย การได้เห็นหน้ากันบ่อยๆคุยกันบ่อยๆ เล่าทุกอย่างละเอียดยิบให้คนที่บ้านฟัง ซึ่งดูเหมือนไม่เห็นต้องเล่าเลยมันไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นซะหน่อย มันก็แค่กิจวัตรประจำวันธรรมดา ก็เห็นเล่ากันซ้ำๆทุกครั้งที่เจอกัน จะมาพูดซ้ำทำไมอีก ไม่เบื่อกันรึไงคะ ถึงไม่ถามก็รู้กันอยู่แล้วเพราะว่ามันไม่มีอะไรใหม่เลย ทั้งหมดนี่ยานึกในใจนะคะ เพราะถ้ายาทำอะไรไม่ดีไป ยากลัวว่ายาจะเป็นสาเหตุทำให้ประเทศไทยเสื่อมเสียค่ะเพราะเขาด่าเหมาทั้งประเทศไทย เขาไม่ได้ด่าแค่ยาคนเดียวนะคะ พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทองค่ะ หลังจากที่ยาอดทนฟังและนิ่งมองสิ่งเหล่านี้อยู่พักใหญ่ก็เห็นว่าลึกๆแล้วสิ่งที่สำคัญไม่ใช่เรื่องที่เขาเล่าค่ะ แต่มันคือเยื่อใยความผูกพันที่เขากำลังสานมันให้แน่นขึ้นตลอดเวลาต่างหาก พวกเขาได้นั่งมองคนที่เขารักแบบเพลินๆ ไม่รีบเร่ง บรรยากาศผ่อนคลาย นั่งกินกันตั้งแต่บ่ายโมงถึงสี่โมงเย็น เก็บล้างจานเสร็จหนึ่งทุ่มกินต่อและคุยต่ออีก มาราธอนจริงๆค่ะ – คุณ สรินยา วิทยาอารีย์กุล
7. คนอิตาลีดื่มกาแฟเยอะมาก
คนอิตาลีดื่มกาแฟเยอะมาก เช้ามา 1 แก้ว ไปถึงที่ทำงานอีก 1 แก้ว ตอน 10 โมงพักทำงานแป๊บดื่มกันอีกแก้ว กินกลางวันเสร็จดื่มอีก 1 แก้ว กลับมาที่ทำงานรอบบ่ายอีก 1 แก้ว ตอน 6 โมงเย็นพักงาน 10 นาที ดื่มอีก 1 แก้ว พอเลิกงานก็ดื่มอีกแก้ว อย่างต่ำ 7 แก้วต่อวัน ยาได้ยินบางคนที่บ่นเครียด ดื่มกัน 10 แก้วต่อวันก็มีให้เห็นบ่อย แล้วเป็นแบบนี้ทุกวัน คุณพระช่วย!!! เมื่อ 20 ปีก่อน คนไทยจะฮิตดื่มกาแฟจากเซเว่นใช่ไหมคะ แก้วใหญ่ๆใส่น้ำแข็งด้วย แต่ที่อิตาลีเขาดื่มกันแก้วเล็กๆแบบแก้วน้ำชาไหว้จ้าวของคนจีน แล้วกาแฟนั้นมันก็เข้มข้นมากๆด้วย พวกเขาไม่นิยมใช้น้ำแข็งกันเพราะระแวง ไม่รู้ว่าเขาเอาน้ำอะไรมาทำเป็นน้ำแข็งอ่ะค่ะ กาแฟแท้แบบอิตาลียาดื่มไม่ได้ค่ะ มันเข้มและขมเกินไป ยาก็เอามาปรุงใหม่ ใส่นมและใส่น้ำตาลเข้าไปเยอะมาก เพื่อให้ได้รสชาติใกล้เคียงกับที่ยาเคยดื่มที่ร้านเซเว่น จากปริมาณน้ำตาลที่ยาใส่ลงไปในกาแฟทำให้ยาตัดสินใจเลิกดื่มกาแฟค่ะ ไม่งั้นยาคงจะเป็นโรคเบาหวานไปแล้วค่ะ – คุณ สรินยา วิทยาอารีย์กุล
8. คนอิตาลีใส่รองเท้าในบ้าน
..อย่างแรกเลยคือคนอิตาลีใส่รองเท้าในบ้าน คือตอนมาถึงใหม่ๆดิฉันจะถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้านเพราะเป็นวัฒนธรรมของคนไทยที่ถือว่าเป็นการให้เกียรติเจ้าของบ้าน
แต่คนที่นี่(อิตาลี)กลับมองดิฉันแปลกๆและบอกว่าไม่ต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้าน เพราะไม่มีใครทำกันทุกคนใส่รองเท้าในบ้าน
(อันนี้แปลกสำหรับดิฉัน) – คุณ นุชนารถ วรรณขาว
9. คนอิตาเลี่ยนใช้เวลาในการทานอาหารนานมากกกกก
คนอิตาเลี่ยนใช้เวลาในการทานอาหารนานมากกกกก คือถ้าเป็นมื้อเที่ยงก็จะจบประมาณบ่าย 3-4โมงเย็น ถ้าเป็นมื้อเย็นก็เที่ยงคืน-ตี1 คือคนอิตาลีเขาจะทานอาหารหลายจาน คือมีจานที่ 1-2-3 มีของหวาน ต่อด้วยเหล้าสำหรับหลังอาหารและกาแฟ อาหารของเขาจะเสิร์ฟทีละจานรอจนทุกคนทานจานแรกหมดจานที่ 2 ถึงจะมาเสิร์ฟ เรามาถึงตอนแรกคืองง เพราะเมืองไทยคืออาหารทุกอย่างมาพร้อมกันและเราทานด้วยกัน แต่คนอิตาลีคือจานใครจานมัน คนไทยทานอาหารเต็มที่ 2 ชั่วโมง แต่คนอิตาลีค่อยทานบางทีลากยาว 4-5 ชั่วโมง(ในกรณีวันหยุดหรือทานข้าวกับครอบครัวและเพื่อนๆ) – คุณ นุชนารถ วรรณขาว
10. ถือเป็นการไม่ให้เกียรติเชฟ
อย่างที่ 2 เรื่องของอาหาร คือเราคนไทยจะติดกับการปรุงรสชาติ เช่นถ้าทานก๋วยเตี๋ยว ก็ต้องมีเครื่องปรุงให้ ทานข้าวถึงแม้จะมีกับข้าวก็ต้องมีพริกน้ำปลา ซึ่งสำหรับคนไทยถือเป็นเรื่องปรกติ แต่สำหรับคนอิตาลีเขาเห็นเป็นเรื่องแปลกในเมื่อเชฟปรุงอาหารแล้วเรียบร้อยทำไมต้องปรุงเพิ่ม ถือเป็นการไม่ให้เกียรติเชฟ เคยมีครั้งหนึ่งดิฉันไปทานอาหารกับเพื่อนด้วยความเคยชินจึงขอซอสและพริกเพิ่มเพื่อจะปรุงรสชาติ ทุกคนมองดิฉันด้วยสายตาที่แปลกไป สามีจึงเล่าให้ฟังว่าการขอเครื่องปรุงเพิ่มถือว่าไม่มีมารยาทและไม่ให้เกียรติเชฟ พออยู่อิตาลีนานเข้าดิฉันก็เห็นข้อดีของการไม่ปรุงเพิ่มนั้นคือ ทำให้เราได้รับรู้รสชาติของอาหารอิตาเลียนอย่างแท้จริง และได้ลิ้มรสในความสดใหม่ของวัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงอาหาร ดิฉันจึงได้รู้ว่านี่คือวัฒนธรรมในการทานอาหารของคนอิตาเลี่ยนจริงๆ – คุณ นุชนารถ วรรณขาว
11. การที่ผู้ใหญ่ต้องบริการเด็ก
– คือการที่ผู้ใหญ่ต้องบริการเด็ก คือที่เมืองไทยลูกหลาน เคารพบริการต่อผู้ใหญ่ เช่น การทำอาหาร ล้างถ้วยล้างจาน ซักผ้ารีดผ้าให้อะไรประมาณนี้ค่ะ แต่ที่อิตาลีตรงกันข้ามค่ะ ใหม่ๆดารู้สึกกระดากอายที่แม่แฟนต้องมาบริการเรา อย่างวันอาทิตย์ที่อิตาลีถือเป็นวันครอบครัว ลูกๆจะมารับประทานอาหารที่บ้านแม่ พวกเขาจะนั่งรอที่โต๊ะอาหาร แม่ก็จะบริการเสิร์ฟอาหารจานแรกจนจบล้างถ้วยชาม ลูกหลานก็แยกย้ายกันกลับบ้านปล่อยให้แม่ทำงานของเขาไป เออแปลกดี ถ้าเป็นเมืองไทยก็ช่วยกันทำ เสร็จค่อยแยกย้ายกันกลับบ้าน – คุณ ปนัดดา
12. เวลาเจอกัน ก็จะทักกัน
เช่น คนไทย เวลาเจอกัน ก็จะทักกันธรรมดา ถ้าเป็นผู้ใหญ่ ก็ยกมือไหว้
แต่ที่อิตาลี่ พอเจอหน้ากัน ก็ต้อง say Ciao ซึ่งเป็นคำสวัสดีของอิตาลี พอหันหลังจากกัน และเดินมาเจอกันอีก ก็ต้อง Ciao อีกเจอ10 ครั้งก็ต้อง Ciao 10 ครั้ง ชึ่งสำหรับดา มันค่อยข้างน่าเบื่อ Ciao ครั้งเดียวก็น่าจะพอแล้ว (หัวเราะ)
13. เชื่อทุกคำพูดของแม่
สำหรับดาน่ะค่ะ ดาว่าคนอิตาเลี่ยน เป็น ลูกแหง่ติดแม่ ไม่ว่าหญิงหรือชาย อายุมากแล้วก็ยังอยู่กับพ่อแม่ ทำอะไรไม่เป็น ให้แม่ทำให้ตลอด ชักผ้า รีดผ้า เตรียมอาหาร มีแต่แม่ทำให้หมด ไม่ยอมออกค่าใช้จ่ายใดๆให้พ่อแม่ออกอยู่ฝ่ายเดียว พอแต่งงานไป ออกเรือน ก้อยู่ไกล้ๆแม่เหมือนเดิม
ตอนดาแต่งงานกับคนอิตาลี่ มีปัญหากันก็เพราะ แม่เขานี่แหละ เพราะเขาติดแม่ เชื่อแม่ทุกอย่าง เขาติดแม่มาก เชื่อทุกคำพูดของแม่
จะซื้อเสื้อผ้า หรือแต่งตัวก็ต้องให้แม่เห็นดีด้วย โอ้ย ดารับไม่ค่อยจะได้น่ะค่ะ ชอบความเป็นตัวของตัวเอง คนอิตาเลี่ยน เขาเลี้ยงดูดีค่ะ
14. เขา จะเดินเข้ามาสวมกอดเราพร้อมกับจูบที่แก้มเราทั้ง 2
ครั้งแรกที่กุ้งนางย้ายมาอยู่ที่อิตาลี่นะคะ กับวัฒธรรมสุดแปลกจนกุ้งนางต้องเดินถอยหลังไปตั้งหลักนี่คือการทักทายเพื่อพบเจอกันและแนะนำตัวเองค่ะ คือคนไทยเมื่อเราเจอกันเราจะยกมือไหว้และกล่าวคำทักทายหรือแนะนำตัวเอง แต่คนที่นี่เขาจะเดินเข้ามาสวมกอดเราพร้อมกับจูบที่แก้มเราทั้ง 2 ข้าง บ่งบอกถึงการแสดงความยินดี ซึ่งครั้งแรกด้วยความที่กุ้งนางไม่ทราบเลยทำให้ตกใจจนเดินถอยหลังออกมาเลยตอนเขาสวมกอด – คุณ Tidapon Posajun
15. คนที่นี่ต้องทานพร้อมกัน
วัฒนธรรมและการปฏิบัติในเรื่องของการทานอาหารในแต่ละวันค่ะ คือนิสัยของคนไทยเรานั่นจะทานตามใจปาก คือหิวเมื่อไหร่ก็ทาน อยากทานเมื่อไหร่ก็ทาน ตอนที่กุ้งนางมาอยู่แรกๆกุ้งนางโดนแฟนดุค่ะ เพราะกุ้งนางทำกับข้าวหาข้าวทานตอน 11 โมงเช้า แฟนบอกว่าคนที่นี่ต้องทานพร้อมกันคือ 1..เวลาอาหารเช้าคือจะเป็นนมหรือชากาแฟกับขนมนิดหน่อยช่วงเช้า 7-9 โมง ส่วนมื่อเที่ยงนั้นจะทานในเวลา 13.00 น. ส่วนช่วงเวลา 16.00 ก็จะเป็นเวลาอาหารว่าง มื้อค่ำก็ 19.00-20.30 ค่ะ คือเป็นระบบระเบียบมากๆ ทานอะไรตามใจไม่ได้เลย – คุณ Tidapon Posajun
16. การกินคะ เวลามีเทศกาลสำคัญๆ
วัฒนธรรมและประเพณี ของอิตาลี ที่คิดว่าแปลกสำหรับดิฉันคือ 1)การกินคะ เวลามีเทศกาลสำคัญๆ จะกินดื่มเต็มที่และแต่ละเทศกาลจะมีอาหารประจำคะ อย่างเช่นใกล้ๆนี้ ชื่อ Carnevare ชื่อขนม frittole น่ารักและอบอุ่นคะ – คุณ มนุษย์น้อยในโลกกว้าง
17. เทศกาลแปลก
เทศกาลแปลกๆเช่น การเผาต้นไม้ที่ตัดนำมาทำเอาไว้เป็นกองใหญ่แล้วเผาในตอนกลางคืน จะดูว่าควัญไปทางไหน เพื่อ ทำนายการอุดมสมบูรณ์ที่จะเกิดขึ้นของทุกๆปี จะมีในเดือน มกราคม ชื่อ befana จะมีเครื่องดื่มฉลอง คือ วายแดงร้อน ชื่อ brure ดื่มกันคะ – คุณ มนุษย์น้อยในโลกกว้าง
18. วันผู้หญิง
วันผู้หญิง ( ดิฉันชอบเป็นพิเศษคะ) จะมีในเดือนเมษายน วันที่ 8 ของทุกปี ชื่อ festa della donna ผู้หญิงทุกคนจะออกไปเจอเพื่อนสาวและเฉลิม ฉลองกัน อย่างสนุกสนาน ไม่ต้องกังวลที่บ้านเลยคะ 555 มีความสุขคะ – คุณ มนุษย์น้อยในโลกกว้าง
19. กินอาหารมื้อแรก
ครั้งแรกที่มาถึงอิตาลี่ ได้กินอาหารมื้อแรกคือ Tortellini al brodo ที่แม่สามีทำต้อนรับ กินเข้าไปคำแรกแทบจะถุยทิ้งเพราะมันเค็มมากๆๆๆ ชาวอิตาเลี่ยนกินเค็มพอสมควรค่ะ
20. เขาจะไม่มีคิวบอกเรา
อันดับที่3.คือ เมื่อเราต้องไปหาหมอหรือบางสถานที่ เขาจะไม่มีคิวบอกเรา เราต้องตะโกนถามว่าใครถึงคนสุดท้าย เพื่อที่เราจะได้จำคนๆนั้นและต่อคิวจากเขา และบางทีเราอาจไม่ต้องจำเพราะทางคลีนิกจะมีกระดาษและปากกาให้เขียนลำดับคิว ซึ่งไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือบ้านเมืองที่เจริญแล้วจริงๆหรือ
เพิ่มเติม
ชีวิตความเป็นอยู่ในประเทศอิตาลี บทสัมภาษณ์น่าอ่านจากคนไทย
ชีวิตหญิงไทยในต่างแดน เฟสบุ๊คเพจ
โปรดลงทะเบียนเพื่อรับThai Women Living Abroad ข่าวสารใหม่อย่างต่อเนื่อง
รูปของสถานที่ Pixabay